เฉลยข้อสอบO-net ( วิทยาศาสตร์ วิชา ชีววิทยา) ปีการศึกษา 2560 สอบมีนาคม 2561

 

ดาวโหลดข้อสอบ O-net ปีการศึกษา 2560 สอบมีนาคม 2561

ข้อ 1 ( 4 )

ข้อ 2 ( 2 )

ข้อ 3 ( 3 )

ข้อ 4 ( 4 )

ข้อ 5 ( 4 )

ข้อ 6 ( 2 )

ข้อ 7 ( 1 )

ข้อ 8 ( 4 )

ข้อ 9 ( 2 )

ข้อ 10 ( 4 )

ข้อ 11 ( 5 )

ข้อ 12 ( 5 )

 

 

 

ข้อ 13 ( 4 )

ข้อ 14 ( 4 )

ข้อ 15 ( 2 )

 

 

 

 

สิ่งดีๆเกิดขึ้นได้เนื่องจากมีผู้สนับสนุน

ลิงก์ผู้สนับสนุน

ข้อ 1) เซลล์ของสิ่งมีชีวิต ชนิดหนึ่งมีกลไกการลำเลียงสารเข้าสู่เซลล์ 4 รูปแบบ ได้แก่ A B C และ D โดยสภาวะเริ่มต้นของการลำเลียงสาร แสดงดังภาพ
(O-net 60)

O-net2560

ข้อใดกล่าวถึงรูปแบบการลำเลียงสารเข้าสู่เซลล์ได้ถูกต้อง
1.รูปแบบ A เท่านั้น ที่มีความจำเพาะต่อสาร เนื่ิองจากสารลำเลียงจากความเข้มข้นน้อยไปมาก
2.รูปแบบ B มีอัตราเร็วของการลำเลียงสารมากกว่ารูปแบบ D เนื่องจากสารแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์โดยตรง
3. รูปแบบ C เป็นการลำเลียงที่สารจะต้องเชื่อมเป็นเนื้อเดียวกันกับเยื่อหุ้มเซลล์
4. รูปแบบ D เป็นการลำเลียงของน้ำ เมื่อแช่เซลล์พืชทิ้งไว้ในสารละลายเจือจาง
5. รูแบบ A และ D ต้องใช้พลังงานจากเซลล์ในการลำเลียงสาร เนื่องจากใช้โปรตีนเป็นตัวพา


คำตอบข้อ 1 ) ตอบ  (4 ) รูปแบบ D เป็นการลำเลียงของน้ำ เมื่อแช่เซลล์พืชทิ้งไว้ในสารละลายเจือจาง

เหตุผล
การลำเลียงสารแบบ A เป็นการลำเลียงสารที่ต้านความเข้มข้น ควรเป็นการลำเลียงสารแบบใช้พลังงาน (active transport)
การลำเลียงสารแบบ B เป็นการแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์โดยไม่อาศัยตัวพา เป็นการแพร่แบบธรรมดา (simple diffusion)
การลำเลียงสารแบบ C เป็นการนำสารเข้าสู่เซลล์โดยไม่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ เป็นการลำเลียงสารแบบเอนโดไซโทซิส (Endocytosis)
การลำเลียงสารแบบ D เป็นการแพร่ของสารแบบอาศัยตัวพา โดยสารต้องเคลื่อนผ่านช่องโปรตีนหรือโปรตีนตัวพา ภายในเยื่อหุ้มเซลล์เป็นการลำเลียงสาร
โดยการแพร่แบบฟาซิลิเทต (Facilitated diffusion)

        ๐ ดังนั้นข้อความที่กล่าวถูกต้องที่สุด คือ ตัวเลือกในข้อ 4 เพราะน้ำเป็นโมเลกุลที่มีขั้ว สามารถแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์โดยอาศัยการแพร่แบบธรรมดาได้เล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ จะลำเลียงผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ผ่านโปรตีนตัวพาที่ชื่อว่า อควาโพริน
:ซึ่งน้ำจะสามารถไหลเข้าออกได้อย่างรวดเร็วผ่านทางช่องทางนี้

onet60

 

ข้อ 2) จัดชุดการทดลองในห้องโล่งที่แสงส่องถึงได้ เพื่อสังเกตการณ์เคลื่อนที่ของฟองอากาศ ในหลอดแก้ว ที่เต็มไปด้วยน้ำ ขณะเริ่มการทดลอง ฟองอากาศอยู่ในต่ำแหน่ง A ดังภาพ เมื่อเวลาผ่านไป ฟองอากาศค่อยๆเคลื่อนที่สูงขึ้น โดยพบว่าเมื่อเวลาผ่านไป 3 ชั่วโมง ฟองอากาศจะเคลื่อนที่ไปถึงตำแหน่ง B (O-net 60)

Onet60

หากต้องการให้ฟองอากาศเคลื่อนที่ถึงตำแหน่ง B เร็วขึ้น ควรปรับปรุงชุดการทดลองนี้อย่างไร
1.  ทดลองในห้องมืดที่เป็นระบบปิด
2.  เปิดโคมไฟให้แสงส่องใบพืชเพิ่มมากขึ้น
3.  เด็ดใบพืชออกบางส่วนแลทาขี้ผึ้งตามรอยเด็ด
4.  เพิ่มความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศของห้องให้มากขึ้น
5.  เปลี่ยนกิ่งพืชโดยใช้พืชชนิดเดิมที่มีจำนวนใบเท่าเดิมแต่มีขนาดใบเล็กลง


คำตอบข้อ 2 ) ตอบ  (2)   เปิดโคมไฟให้แสงส่องใบพืชเพิ่มมากขึ้น

เหตุผล

      ในการทดลองนี้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงแรงดึงจากการคายน้ำ ผ่านทางใบ โดยหลอดแก้วแทนท่อลำเลียงน้ำ เมื่อมีการคายน้ำโมเลกุลของน้ำจะถูกดึงเข้ามาแทนที่
โมเลกุลของน้ำที่สูญเสียไป จะทำให้ระดับน้ำในหลอดแก้วสูงขึ้น ดันให้ฟองน้ำในตำแหน่งA เคลื่อนตัวไปยังตำแหน่ง B
     ๐ หากต้องการปรับปรุงการทดลองให้ฟองอากาศเคลื่อนมายังตำแหน่ง B เร็วขึ้น ควรให้ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการคายน้ำเพิ่มมากขึ้น เช่น
การเพิ่มอุณหภูมิ , ลดความชื้น , เพิ่มความเข้มแสง หรือเพิ่มจำนวนของใบเป็นต้น
    ๐ ซึ่งจากตัวเลือกเหตุการณ์ที่ทำให้การคายน้ำเพิ่มมากขึ้น คือตัวเลือกในข้อ 2 คือ การเปิดโคมไฟให้แสงส่องใบพืชเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการกระทำดังกล่าว
เป็นการเพิ่มความเข้มแสง และเพิ่มอุณหภูมิ ทำให้อัตราการคายน้ำเพิ่มสูงขึ้น ฟองอากาศจากตำแหน่ง A จะเคลื่อนเข้าไปแทนที่ตำแหน่ง B เร็วขึ้นตามไปด้วย

 

 
ข้อ 3) ข้อใดเป็นการนำความรู้เกี่ยวกับการรักษาดุลยภาพน้ำของพืชมาใช้ไม่ถูกต้อง(O-net 60)

1.   การเด็ดใบของพืชให้น้อยลงก่อนการเคลื่อนย้ายต้นพืช เพื่อลดการเหี่ยวเฉา
2.   การรดน้ำเพิ่มขึ้นเมื่อมีการใส่ปุ๋ย เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำของเซลล์รากพืช
3.   การเพาะกิ่งปักชำในบริเวณที่แสงแดดจัด เพื่อเพิ่มอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง
4.   การปลูกต้นไม้ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่บรรยากาศและกระตุ้นการหมุนเวียนของน้ำ
5.   การเลือกปลูกพืชอวบน้ำที่มีใบขนาดเล็กในพื้นที่แห้งแล้ง เพื่อเพิ่มอัตราการรอดของพืช


คำตอบข้อ 3 ) ตอบ ( 3 ) การเพาะกิ่งปักชำในบริเวณที่แสงแดดจัด เพื่อเพิ่มอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง

เหตุผล

     ๐ การปักกิ่งชำไว้ในบริเวณที่มีแสงแดดจัด จะเพิ่มโอกาสให้พืชสูญเสียน้ำ มากยิ่งขึ้น ทำให้กิ่งชำเหี่ยวเฉาได้ง่าย จึงเป็นการนำความรู้
เกี่ยวกับการรักษาดุลยภาพน้ำของพืชมาใช้อย่างไม่ถูกต้อง

onet60

 
 
ข้อ 4) ในทะเลทราย ซึ่งมีอากาศร้อนและแห้งแล้ง ถ้ามนุษย์ทำกิจกรรมโดยไม่ดื่มน้ำ ข้อใดคือการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเพื่อปรับสมดุลน้ำทันทีที่หยุดกิจกรรม(O-net 60)

ตัวเลือก

ความเข้มข้นของเลือด

ต่อมใต้สมอง

ท่อหน่วยไต

1.

ลดลง

ยับยั้งการสร้างฮอร์โมน

ไม่ดูดน้ำกลับ

2.

ลดลง

สร้างฮอร์โมน

ดูดน้ำกลับ

3.

สูงขึ้น

ยับยั้งการสร้างฮอร์โมน

ไม่ดูดน้ำกลับ

4.

สูงขึ้น

สร้างฮอร์โมน

ดูดน้ำ

5.

ไม่เปลี่ยนแปลง

ยับยั้งกาสร้างฮอร์โมน

ดูดน้ำ


คำตอบข้อ 4 ) ตอบ ( 4 )  

เหตุผล

        ๐ จากเหตุการณ์เมื่อ อุณหภูมิสูง ร่างกายจะสูญูเสียน้ำไปจากการเสียเหงื่อ และมีการดำเนินกิจกรรมในบริเวณดังกล่าวโดยไม่ดื่มน้ำร่างกายจึงมีกลไกเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำในกระแสเลือด
เป็นผลให้
          # ความเข้มข้นของเลือด ===> สูงขึ้น ===>เพราะร่างกายมีการสูญเสียน้ำ
          # ต่อมใต้สมอง ===> จะกระตุ้นให้ไฮโพทาลามัสสร้างฮอร์โมน ===> เพราะไฮโพทาลามัสมีหน้าที่ผลิตฮอร์โมน ADH มาเก็บไว้ที่ต่อมใต้สมองส่วนท้าย
          # ท่อหน่วยไต ===> จะดูดกลับน้ำ ===> เนื่องจาก ฮอร์โมน ADH จากต่อมใต้สมองส่วนท้ายที่หลั่งออกมาตามกระแสเลือด กระตุ้นให้ท่อหน่วยไตดูดน้ำกลับเข้าสู่กระแสเลือด
     

 
 
ข้อ 5) การตรวจสอบโปรตีนบนผิวของละอองเรณูในดอกไม้ 3 ชนิด เป็นดังตาราง(O-net 60)
Onet60

จากข้อมูล ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงละอองเรณูของดอกไม้ชนิดใด เพราะเหตุใด
1.   ชนิดที่ 1 และ 3 เนื่องจากโปรตีนบนผิวจะจับกับแอนติบอดีแล้วยับยั้งการหลั่งสารฮิสตามีน
2.   ชนิดที่ 1 และ 3 เนื่องจากโปรตีนบนผิวจะไม่จับกับแอนติบอดีแล้วกระตุ้นการหลั่งสารฮิสตามีน
3.   ชนิดที่ 2 และ 3 เนื่องจากโปรตีนบนผิวจะจับกับแอนติบอดีแล้วยับยั้งการหลั่งสารฮีสตามีน
4.   ชนิดที่ 2 และ 3 เนื่องจากโปรตีนบนผิวจะจับกับแอนติบอดีแล้วกระตุ้นการหลั่งสารฮิสตามีน
5.  ชนิดที่ 2 และ 3 เนื่องจากโปรตีนบนผิวจะไม่จับกับแอนติบอดีแล้วกระตุ้นการหลั่งสารฮีสตามีน

    


คำตอบข้อ 5 ) ตอบ (4)   ชนิดที่ 2 และ 3 เนื่องจากโปรตีนบนผิวจะจับกับแอนติบอดีแล้วกระตุ้นการหลั่งสารฮิสตามีน

เหตุผล

     ๐ แอนติเจน (Antigen) มักเป็นสารที่แปลกปลอมหรือเป็นพิษต่อร่างกาย ซึ่งเมื่อเข้ามาในร่างกายแล้วจะถูกจับโดยแอนติบอดี (Antibody) ที่มีความจำเพาะ แอนติบอดีแต่ละชนิดถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองกับแอนติเจนชนิดหนึ่ง ๆ เนื่องจากมีความแตกต่างอย่างจำเพาะในส่วนจับคอมพลีเมนท์ (complementary determining region) ของแอนติบอดีนั้น ๆ (มักเปรียบเทียบว่าเหมือนการจับคู่กันได้พอดีของลูกกุญแจกับแม่กุญแจ)


onet60

      ๐ จากผลเลือดผู้ป่วยมีการสร้างแอนติบอดีขึ้นมา 3 แบบ เมื่อพิจารณาความสามารถในการจับ กับแอนติเจน พบว่าสามารถเข้าคู่ได้กับ แอนติเจนชนิดที่ 2 และแอนติเจนชนิดที่ 3 เมื่อแอนติเจนกับแอนติบอดีจับกันแล้วจะกระตุ้น ให้มีการหลั่ง สารฮิสตามีน ดังภาพ
Onet60

 
 
 
 

หน้าถัดไป >>

[ ข้อ 1-5 ] / [ ข้อ 6-10 ] / [ ข้อ 11-15 ]

 

 

 

 
 
 

 


กลับหน้าหลัก

พัฒนาโดย ครูนันทนา สำเภา
ครูชำนาญการพิเศษ
โรงเรียนปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ

ช่องทางติดตามผลงงานทาง Youtube ::

ติดตามผลงานทางแฟนเพจเฟสบุ๊ค  ::