รู้ไว้ห่างไกลโรค

 

จุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค

จุลินทรีย์

ประเภทของจุลินทรีย์

    :: ไวรัส

    :: แบคทีเรีย

    :: สาหร่ายเซลล์เดียว

    :: โพรโทซัว

    :: รา

โรคที่เกิดจากจุลินทรีย์

    :: โรคติดเชื้อทางระบบหายใจ

    :: โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธุ์

    :: โรคติดเชื้อทางการกินอาหาร

    :: โรคติดเชื้อที่นำโดยแมลงหรือสัตว์

 

โรคติดต่ออุบัติใหม่

โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย

โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้อไวรัส

๐ โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่เกิดโพรโทซัว

โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่เกิดจากพรีออน

 

การเสริมสร้างสุขภาพและการป้องกันโรค

การเสริมสร้างสุขภาพ

การสร้างกำลังใจปกป้องสุขภาพ

การใช้หลักพุทธธรรมปกป้องสุขภาพ

 

 

   

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการถ่ายเลือด

              โรคพวกนี้อาจติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรง และเพศสัมพันธ์ บางโรคติดต่อโดยการถ่ายเลือดและการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน

          1. โรคหนองใน (Gonorrhea) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียกรัมลบรูปร่างกลม มักเรียงตัวอยู่ติดกันเป็นคู่ๆ (diplococci) การติดเชื้อเกิดบริเวณอวัยวะเพศ หรือในนัยน์ตาเด็กทารกแรกเกิด ทำให้ตาบอดได้ จึงต้องหยอดตาด้วยซิลเวอร์ไนเตรทหรือยาปฏิชีวนะ ในผู้ชายที่ติดเชื้อจะมีอาการเจ็บปวด บริเวณท่อปัสสาวะในเวลาถ่ายปัสสาวะและ มีหนองไหลด้วย ในผู้หญิงอาจมีหนองหรือไม่มีอาการก็ได้ เชื้ออาจเข้าไปทำให้มดลูกทำให้รังไข่และอวัยวะ ภายในอักเสบได้ ปัจจุบันพบว่าเชื้อส่วนให่ญ่จะมีการดื้อยาปฏิชีวนะพวกเพนนิซิลินเรียกว่า Penicillin Propucing Neisseria Gonorrhea หรือ PPNG ต้องใช้ยาปฏิชีวนะชนิดใหม่เช่น Spectinomycin เป็นต้น ในการรักษา

          2. ซิฟิลิส (Syphilis) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียรูปร่างเป็นเกลียวชื่อ Treponema pallidumซึ่งเป็น obligate anaerobe ที่ยังคงใช้ยาเพนนิซิลินกำจัดอย่างได้ผลอยู่ เชื้อเข้าไปตามรอยแผลที่เกิดจากการเสียดสี เจริญเพิ่มจำนวนทำให้เกิดโรคซึ่งแบ่ง ออกเป็นระยะได้ดังนี้ - ซิฟิลิสระยะแรก หรือ Primary syphilis จะเกิดเป็นแผลริมแข็งเรียกว่า hard chancre ขึ้นบริเวณปลาย penis, labia หรือปากมดลูก แผลจะหายไปเองใน 3-5 สัปดาห์ - ซิฟิลิสระยะที่สอง หรือ Secondary syphilis หลังจากที่แผลริมแข็งหายไปประมาณ 2-12 สัปดาห์ เชื้อซิฟิลิสกระจายไปตามกระแสโลหิตสู่ร่างกายส่วนต่าง ๆ ที่ผิวหนัง, กระดูก, ตาข้อ อาการที่พบจะพบผื่นขึ้นบริเวณผิวหนังที่เรียกว่า ออกดอก อาจมีต่อมน้ำเหลืองไต  ระยะนี้อาจเป็นหาย ๆ เป็นเวลานานถึง2 ปี ในระยะแรกและ ระยะที่สองนี้เป็นระยะติดต่อ - ซิฟิลิสระยะแฝง หรือ Latent syphilis ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อ เมื่อเข้าสู่ระยะที่สองแล้ว อาจไม่มีอาการอะไรแสดงออกมาทั้งๆที่มีเชื้ออยู่ภายใน อาจกินระยะเวลานานหลายเดือน เป็นปี หรือตลอดชีวิตระยะนี้จะตรวจพบว่าเป็นซิฟิลิสได้โดย การตรวจทางน้ำเหลืองเท่านั้น - ซิฟิลิสระยะที่สาม หรือ Tertiary หรือ Late syphilis พบประมาณ 30% ของผู้ป่วยเป็นซิฟิลิสแล้วไม่ได้รับการรักษา ซึ่งอาจกินเวลานาน 5-40 ปีหลังจากที่ติดเชื้อเป็นครั้งแรก เชื้อจะก่อความเสียหายอย่างช้าๆต่อระบบประสาทส่วนกลาง, ระบบหัวใจ, ตา, กระดูก, ตับ,ไตหรือผิวหนัง แผลที่เกิดเรียกว่าgummata ผู้ป่วยมักมีอาการเสียสติ ตาบอด, เป็นโรคหัวใจ และตายในที่สุด เชื้อซิฟิลิสสามารถผ่านรกจากหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นซิฟิลิสไปสู่ลูกได้ซึ่งเรียกว่า congenital syphilis อาจป้องกันได้โดยการให้ยาเพนนิซิลินในระยะแรกของการตั้งครรภ์

          3. หนองในเทียม (Non Gonococcal Urethritis, NGU หรือ Non Specific Urethritis, NSU) ส่วนใหญ่ที่พบเกิดจากเชื้อ Chlamydia trachomatis ซึ่งจัดเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งในผู้ชายจะมีหนองซึ่งลักษณะใสๆ ทำให้คันและขัดเวลาปัสสาวะ เชื้ออาจลุกลามเข้าไปทำให้อัณฑะและ prostrate gland อักเสบ ส่วนในผู้หญิงทำให้ปากมดลูก ท่อนำไข่อักเสบ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นหมันได้ เชื้อชนิดนี้บางสายพันธุ์ทำให้เกิดฝีมะม่วงหรือ Lymphogranuloma venereum ด้วย

          4. เริม (Herpes virus infection) เกิดจากเชื้อ herpes simplex virus type 2 หรือ herpes simplex virus type 1 เชื้อไวรัสเข้าตามรอยถลอกและเยื่อเมือก ทำให้เกิดตุ่มน้ำพองใส(vesicle) ทำให้อักเสบ บวม อาจเป็นไข้ในระยะแรก โดยเฉพาะในสตรี ตุ่มน้ำจะแตกและเกิดเป็นแผลตื้นๆประมาณ 7-14 วันก็หายไปโดยไม่มีแผลเป็น แต่เชื้อไวรัสเข้าไปหลบซ่อนในปมประสาท และเมี่อกระตุ้น(reactivate) ด้วยสิ่ งเร้าต่างๆ เช่น การมีประจำเดือน, ความเครียด, การถูกแสงแดดมากๆ เชื้อไวรัสก็จะเดินทางออกจากปมประสาทมาที่บริเวณผิวหนัง ทำให้เกิดแผลและตุ่มน้ำพองใส บริเวณอวัยวะเพศได้อีก

          5. Trichomoniasis เป็นโรคที่เกิดจากโปรโตซัวชื่อ Trichomonas vaginalis ทำให้เกิดอาการคันและตกขาวในผู้หญิง ในผู้ชายก็มีอาการอักเสบของท่อปัสสาวะ (NSU)

          6. Acquired Immune Deficiency Syndrome (AIDS) หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการถ่ายเลือด รวมทั้งการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน โรคเกิดจากไวรัสชื่อว่า Human Immunodeficiency Virus (HIV) ซึ่งมี 2 type คือ HIV-1 และ HIV-2 ไวรัสเข้าไปก่อการติดเชื้อและทำลาย T-helper cell รวมทั้งเซลล์ในสมอง ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะชนิดผ่านเซลล์เสื่อมลงเกิดการติดเชื้อพวกฉวยโอกาศ (opportunistic infection) ซึ่งมักจะไม่ค่อยเป็นอันตรายต่อคนปกติ มีทั้งเชื้อแบคทีเรีย, รา, โปรโตซัวและไวรัส เช่นPneumocystis carinii ทำให้เกิดปอมบวม Cryptosporidium ทำให้ท้องเสียเรื้อรัง Toxoplasma gondii ทำให้สมองอักเสบ Cryptococcus neoforman ทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ Candida albicans ทำให้เกิดอาการเจ็บคอ Herpes simples virus ทำให้เกิดสมองอักเสบ และอวัยวะอื่นอักเสบ

          7. ตับอักเสบชนิดบี เกิดจาก Hepatitis B virus (HBV) ไวรัสชนิดนี้สามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ การใกล้ชิด, ใช้ของร่วมกัน, การให้เลือด, การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ มีบางพวกมีอาการตับอักเสบ ตาเหลือง ตัวเหลืองเห็นได้ชัด และประมาณ 10% จะกลายเป็นพาหะ (carrier) นำเชื้อไวรัสซึ่งจะมีโอกาสกลายเป็นโรคมะเร็งตับหรือตับแข็งมากกว่าผู้ที่ไม่ได้ติดเชื้อประมาณ 200 เท่า ปัจจุบันมีวัคซีนที่ผลิดโดยวิธี genetic engineering vaccine ใช้แล้ว