การศึกษาเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพอาณาจักรมอเนอรา:: อาณาจักรของสิ่งมีชีวิต:: แบบฝึกที่ 2.1:: ลักษณะสำคัญของแบคทีเรีย:: แบบฝึกที่ 2.2:: ความหลากหลายของแบคทีเรีย:: แบบฝึกที่ 2.3อาณาจักรโพรทิสตาอาณาจักรพืชอาณาจักรฟังไจสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังสัตว์มีกระดูกสันหลังDownload เอกสารเผยแพร่กลับหน้าหลัก----------------------๐๐๐--------------------
|
ความหลากหลายของแบคทีเรีย
สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรมอเนอรา เชื่อว่ามีมากกว่า 5,000 ชนิด และคาดว่าน่าจะมีการค้นพบเพิ่มอีกเป็นจำนวนมาก โดยเมื่อมีการจัดจำแนกแบคทีเรียที่อยู่ในอาณาจักรมอเนอรา ตามสายวิวัฒนาการ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 อาณาจักรย่อย คือ อาณาจักรย่อยอาร์เคียแบคทีเรีย (Subkingdom Archaebacteria) และอาณาจักรย่อยยูแบคทีเรีย (Subkingdom Eubacteria) มีรายละเอียดดังนี้ 1. อาณาจักรย่อยอาร์เคียแบคทีเรีย (Subkingdom Archaebacteria) สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรย่อยนี้อาจเรียกอีกชื่อว่า อาร์เคีย (Archaea) เป็นโพรแคริโอตที่มีลักษณะแตกต่างจากยูแบคทีเรียหลายลักษณะ เช่น ผนังเซลล์ไม่มีสารเพปทิโดไกลแคน แต่เป็นสารพวกไกลโคโปรตีน หรือ S-layer โปรตีน โครงสร้างเยื่อหุ้มเซลล์เป็นกลีเซอรอลอีเธอร์ไลปิด (glycerol-ether lipid) และกรดอะมิโนตัวแรกที่สังเคราะห์เพปไทด์ คือ เมเทโอนีน (methionine) เป็นต้น ด้วยคุณสมบัติของสารประกอบในผนังเซลล์และเยื่อหุ้มเซลล์แบบดังกล่าว ทำให้อาร์เคียสามารถอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตกลุ่มอื่นไม่สามารถเจริญอยู่ได้ แบ่งเป็นกลุ่มต่าง ๆ ได้ดังนี้ 1.1 กลุ่มเทอร์โมไฟล์ (thermophiles) เป็นกลุ่มอาร์เคียที่เจริญได้ในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงตั้งแต่ 45-122 องศาเซลเซียส ใช้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน แอมโมเนีย มีเทน ซัลเฟอร์ และสารประกอบที่มีธาตุไฮโดรเจน มาใช้ในการสร้างสารอินทรีย์ที่จำเป็น 1.2 กลุ่มฮาโลไฟล์ (halophiles) เป็นพวกอาร์เคียที่สามารถเจริญได้ในบริเวณสภาพแวดล้อมที่มีความเค็มสูงมากกว่าน้ำทะเลทั่วไปได้ถึง 5 เท่า เช่น ในทะเลสาบ Dead Sea เป็นต้น โดยอาร์เคียกลุ่มนี้สามารถสะสมสารอินทรีย์ที่จำเป็นจากสิ่งแวดล้อมไว้ในไซโทรพลาซึมเพื่อการเจริญเติบโต และมีการพัฒนาระบบการคัดเลือกโพแทสเซียมอิออน (K+) เข้าสู่ ไซโทรพลาซึมของเซลล์ได้เป็นอย่างดี 1.3 กลุ่มแอซิโดไฟล์ (acidophiles) เป็นกลุ่มอาร์เคียที่สามารถเจริญเติบโตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความเป็นกรดสูง pH 2 หรือต่ำกว่า อาร์เคียกลุ่มนี้จะมีการพัฒนา เมทาบอลิซึมภายในเซลล์ให้ปล่อยโปรตอน (H+) ออกมานอกเซลล์เพื่อปรับสภาพ pH ในไซโทรพลาซึมให้มีความเป็นกลางและให้เซลล์อยู่รอดต่อไปได้มาก อาร์เคียกลุ่มนี้สามารถนำไฮโดรเจนอิออนในรูปของไฮโดรเนี่ยม (H3O+) ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เข้าไปในไซโทรพลาซึมเพื่อปรับสมดุลให้ได้ pH 8 ทำให้เซลล์สามารถเจริญอยู่ได้ในสภาพความเป็นด่างสูงได้
2. อาณาจักรย่อยยูแบคทีเรีย (Subkingdom Eubacteria) อาณาจักรย่อยนี้ถือว่าเป็นแบคทีเรียที่แท้จริง มีลักษณะสำคัญคือ ผนังเซลล์ประกอบด้วยสารพวกเพปทิโดไกลแคน(Peptidoglycan) เป็นองค์ประกอบ เยื่อหุ้มเซลล์มีไขมันที่มีพันธะ เอสเทอร์ ไขมันในเยื่อหุ้มเซลล์เป็นไขมันไม่แตกแขนง และกรดอะมิโนตัวแรกของการสร้างเพปไทด์ คือ ฟอร์มิลเมธิโอนิน (formyl methionine) เป็นต้น แบ่งเป็นกลุ่มต่าง ๆ ได้ดังนี้ 2.1 กลุ่มโพรทีโอแบคทีเรีย (proteobacteria) เป็นยูแบคทีเรียที่จัดกลุ่มจากการวิเคราะห์ลำดับเบสของยีน 16S RNA มีลักษณะเป็นแบคทีเรียแกรมลบ บางกลุ่มสามารถมีกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงได้คล้ายกับพืช บางกลุ่มสามารถดำรงชีวิตได้โดยใช้ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) และได้ซัลเฟอร์เป็นผลพลอยได้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง เช่น เพอเพิลซัลเฟอร์แบคทีเรีย (Purple sulfur bacteria) โพรทีโอแบคทีเรียบางกลุ่มมีบทบาทช่วยตรึงแก๊สไนโตรเจนในอากาศเพื่อนำมาสร้างเป็นสารประกอบไนโตรเจนในดิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่น แบคทีเรียสกุลไรโซเบียม (Rhizobium) ในปมรากถั่ว เป็นต้น
ภาพที่9 โพรทีโอแบคทีเรียที่พบในธรรมชาติ (ก) Purple sulfur bacteria (ข) Rhizobium sp.
2.2 กลุ่มคลาไมเดีย (chlamydia) เป็นยูแบคทีเรียแกรมลบที่ไม่มีเพปทิโดไกลแคน และมีชีวิตอยู่ได้ในเซลล์สัตว์เท่านั้น ทำให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคโกโนเรีย (gonorrhoea) หรือหนองใน ซึ่งเกิดจากแบคทีเรียชนิด Neisseria gonorrhoea เป็นต้น
ภาพที่ 10 แบคทีเรียชนิด Neisseria gonorrhoea (ก) ตำแหน่งของแบคทีเรียที่อยู่ภายในเซลล์ (ลูกศรชี้) (ข) ภาพเซลล์แบคทีเรีย (สีแดง) ถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์อิเล็คตรอนแบบ
ส่องกราด 2.3 กลุ่มสไปโรคีท (spirochete) เป็นยูแบคทีเรียแกรมลบ เซลล์รูปเกลียว มีความยาวประมาณ 0.25 มิลลิเมตร ยูแบคทีเรียในกลุ่มนี้ มีการดำรงชีวิตแบบอิสระแต่บางชนิดเป็นสาเหตุของโรค เช่น โรคซิฟิลิส (syphilis) เกิดจากเชื้อ Treponema pallidum และโรคฉี่หนู (leptospirosis) เกิดจากเชื้อ Leptospira interogans เป็นต้น
ภาพที่ 11 ภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนแบบส่องกราด (SEM) ของแบคทีเรียกลุ่ม
2.4 กลุ่มแบคทีเรียแกรมบวก หรือ (gram-positive bacteria) เป็นยูแบคทีเรียที่มีความหลากหลายรองจากกลุ่มโพรทีโอแบคทีเรีย พบได้ทั่วไปในดินและอากาศ แบคทีเรียแกรมบวกบางชนิดผลิตกรดแลคติกจากน้ำตาลแลคโตสได้ เช่น Lactobacillus นำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น การผลิตเนย ผักดอง โยเกิร์ต นมเปรี้ยว เป็นต้น แบคทีเรียบางชนิด นำมาสกัดสารเพื่อใช้ทำยาปฏิชีวินะที่ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อจากแบคทีเรีย เช่น ยาสเตร็บโตมัยซิน ยาเตตราซัยคลิน ยาคลอแรมเฟนิคอล ยาทอกซีซัยคลิน และยาโมโนซัยคลิน เป็นต้น ยูแบคทีเรียบางชนิดทำให้เกิดโรคร้ายแรงต่อมนุษย์และสัตว์ เช่น โรคแอนแทรกซ์ ที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย Bacillus anthracis เป็นยูแบคทีเรียที่สามารถอยู่ในที่แห้งหรือในดินได้นาน 20-25 ปี มีความทนทานต่อความร้อนสูงถึง 140 องศาเซลเซียส ได้นาน 1-3 ชั่วโมง แต่ถ้ามีความชื้นรวมอยู่ด้วย เช่น นำไปต้ม ก็จะทนความร้อนได้ประมาณ 100 องศาเซลเซียส หรือเท่ากับความร้อนที่น้ำเดือด และอยู่ได้นานเพียง 5-30 นาที เท่านั้น ส่วนยูแบคทีเรียแกรมบวกอีกกลุ่ม คือ Pneumococus sp. เป็นสาเหตุให้เกิดโรคปอดบวมในคนและวัวได้อีกเช่นกัน ยูแบคทีเรียกลุ่มนี้บางสปีชีส์ เช่น Bacillus sp. สามารถสร้างเอนโดสปอร์ (Endospore) ทำให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้ดี การสร้าง เอนโดสปอร์ (endospore) ซึ่งไม่ใช่เป็นการสืบพันธุ์ แต่เป็นการปรับตัวด้านโครงสร้างให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้ โดยเซลล์กำเนิดจะจำลองดีเอ็นเอขึ้นมา แล้วสร้างผนังเซลล์หนาห่อหุ้มไว้ ซึ่งภายในเซลล์จะไม่มี เมตาบอลิซึมใดๆ เมื่อสร้างเอนโดสปอร์เสร็จแล้วเซลล์เดิมจะตายไป เหลือเพียงเอนโดสปอร์ผนังหนามาก มีอายุได้นานเป็นศตวรรษ และจะเจริญเป็นเซลล์ใหม่ได้หากสภาพแวดล้อมเหมาะสม ภาพที่ 12 เซลล์แบคทีเรียที่มีการสร้างเอนโดสปอร์
นอกจากนี้ ยังมียูแบคทีเรียแกรมบวกอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มไมโคพลาสมา (mycoplasma) เป็นยูแบคทีเรียที่มีขนาดเซลล์เล็กมากประมาณ 0.1 – 1.0 ไมโครเมตรเท่านั้น มีเยื่อหุ้มเซลล์หนา ต้องใช้สเตอรอล (sterol) เพื่อศึกษาเสถียรภาพของเยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่ง ไมโคพลาสมาได้มาในรูปของโคเลสเตอรอลจากเซลล์เจ้าบ้านซึ่งเป็นสัตว์ มีรูปร่างไม่แน่นอน อาจจะมีลักษณะ กลม รี แท่ง เกลียวหรือเส้นยาว ก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและแรงดันออสโมติกของอาหารเลี้ยงเชื้อและระยะเวลาการเลี้ยงเชื้อ พบได้ทั่วไปในธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะมีชีวิตแบบอิสระ แต่มีบางชนิดที่สามารถก่อโรคได้ทั้งในคน สัตว์ และพืช ไมโคพลาสมาบางชนิดทำให้เกิดโรคในคน เช่น Mycoplasma pneumoniae เป็นสาเหตุของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่พบได้บ่อยในเด็ก ทำให้เกิดอาการไอ เป็นไข้ เจ็บคอ หลอดลมอักเสบ หรือปอดบวม เป็นต้น 2.5 กลุ่มไซยาโนแบคทีเรีย (cyanobacteria) หรือเดิมรู้จักในชื่อ สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน (blue green algae) เป็นสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรมอเนอราเพียงกลุ่มเดียวที่มีการสังเคราะห์ด้วยแสงที่มีโมเลกุลออกซิเจนเป็นผลพลอยได้ มีสารสีหลายชนิด เช่น คลอโรฟิลล์-เอ แคโรทีนอยด์ และไฟโคบิลิน เป็นต้น ผนังเซลล์ แบ่งออกเป็น 2 ชั้น มีองค์ประกอบคล้ายกับผนังเซลล์ของแบคทีเรียชนิดแกรมลบ (gram- negative) ที่เรียกว่ามิวโคเพบไทด์ (mucopeptide) และส่วนนอกของเซลล์ไซยาโนแบคทีเรียมักจะสร้างเมือกหรือมิวซิลาจินัสชีท (mucilaginous sheath) ขึ้นมาเพื่อห่อหุ้มเซลล์ ทำให้สามารถทนทานต่อสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้ทั้งในบริเวณที่ร้อนจัด หรือเค็มจัด ไม่เพียงเท่านั้น เรายังอาจจะพบไซยาโนแบคทีเรีย อาศัยร่วมกันในสิ่งมีชีวิตอื่นได้ เช่น แอนนาบีนา (Anabaena sp.) ในใบของแหนแดง และ รากับสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินในไลเคน เป็นต้น ไซยาโนแบคทีเรียเป็นผู้ผลิตที่สำคัญในระบบนิเวศ และบางชนิด สามารถตรึงแก๊สไนโตรเจนในอากาศให้เป็นสารประกอบไนเตรตได้ เช่น แอนาบีนา (Anabaena sp.) นอสตอก (Nostoc sp.) และ ออสซิลลาทอเรีย (Oscilatoria sp.) เป็นต้น
ภาพที่ 13 การอยู่ร่วมกันของไซยาโนแบคทีเรียร่วมกับสิ่งมีชีวิตอื่น (ก) แหนแดง (ข) Anabaena (ที่มา: http://cfb.unh.edu ) ภาพที่ 14 แสดงสายเซลล์ของ Oscillatoria sp.
หลักฐานจากซากดึกดำบรรพ์ของไซยาโนแบคทีเรีย ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถคาดคะเนได้ว่าไซยาโนแบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกที่ทำให้มีออกซิเจนเกิดขึ้นในโลกยุคนั้น ซึ่งก่อให้เกิดการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่หายใจด้วยออกซิเจนและกลุ่มยูแคริโอตในเวลาต่อมา
บทบาทและความสำคัญของยูแบคทีเรีย
|
|||||||||||||||||
รวบรวมเรียบเรียงโดย ครูนันทนา สำเภา โรงเรียนปทุมราชวงศา |