รู้ไว้ห่างไกลโรค

 

จุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค

จุลินทรีย์

ประเภทของจุลินทรีย์

    :: ไวรัส

    :: แบคทีเรีย

    :: สาหร่ายเซลล์เดียว

    :: โพรโทซัว

    :: รา

โรคที่เกิดจากจุลินทรีย์

    :: โรคติดเชื้อทางระบบหายใจ

    :: โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธุ์

    :: โรคติดเชื้อทางการกินอาหาร

    :: โรคติดเชื้อที่นำโดยแมลงหรือสัตว์

 

โรคติดต่ออุบัติใหม่

โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย

     :: โรคไข้กาฬหลังแอ่น

     :: โรคติดเชื้อเสร็พโตค็อกคัสซูอิส

     :: โรคทูลารีเมีย

     :: โรคเมลิออยโดซิส

     :: โรคแอนแทรกซ์

โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้อไวรัส

๐ โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่เกิดโพรโทซัว

โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่เกิดจากพรีออน

 

การเสริมสร้างสุขภาพและการป้องกันโรค

๐ การเสริมสร้างสุขภาพ

๐ การสร้างกำลังใจปกป้องสุขภาพ

๐ การใช้หลักพุทธธรรมปกป้องสุขภาพ

 

 

   

โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย

             โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax)

          โรคแอนแทรกซ์เป็นโรคเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacillus anthracis) ซึ่งมีรูปร่างลักษณะเป็นแท่ง เชื้อสามารถสร้างสปอร์ในอาหารเหลว สปอร์ มีลักษณะเป็นช่องกลมๆใส อยู่ภายในเซลล์ สปอร์สามารถอยู่ในดินได้นาน 20-25 ปี ในที่แห้งมีความทนทานต่อความร้อน 140 C ได้นาน 1-3 ชั่วโมง แต่ถ้ามีความชื้นด้วย เช่นนำไปต้ม จะทนความร้อน 100 C ซึ่งเท่ากับความร้อนที่น้ำเดือด ได้นานเพียง 5-30นาทีเท่านั้นโดยอาจเป็นแผลที่ผิวหนังและไม่บ่อยนักที่เป็นโรคที่ระบบทางเดินหายใจ หรือทางเดินอาหาร สาเหตุการเกิดโรคในคน ส่วนใหญ่จะติดโรคจากกระบือ โค แพะ และแกะ และเคยมีรายงานการเกิดโรคในแกะที่จังหวัดลพบุรี ในปี พ.ศ. 2526 และติดโรคจากแพะที่จังหวัดตาก และพิจิตร ในปี 2543 นอกจากนี้ อาจพบการติดโรคได้จากการก่อการร้ายโดยใช้สปอร์ของเชื้อนี้เป็นอาวุธชีวภาพ ด้วยการปล่อยสปอร์แอนแทรกซ์ในพื้นที่หรือส่งทางจดหมาย หรือโดยวิธีอื่น ๆ

          อาการและระยะฟักตัว

     1. แอนแทรกซ์ที่ผิวหนัง เท่าที่มีในประเทศไทย มักจะได้ประวัติว่าไปแล่เนื้อวัวควายที่ตายเองโดยไม่ทราบสาเหตุ เนื่องจากควายไม่ได้บอกอะไรเอาไว้ ต่อมาประมาณ 2-3 วันจะมีตุ่มแดงขึ้นตรงที่สัมผัส เช่นมือหรือนิ้วมือ ตุ่มจะคันแต่ไม่เจ็บ และในเวลา 12-48 ชั่วโมงต่อมา จะพองเป็นตุ่มน้ำใส และกลายเป็นตุ่มหนอง ตรงกลางจะแตกและแผลจะลึกกลมเหมือนเบ้าขนมครกมีขอบนูนชัด แผลจะกลายเป็นสีน้ำตาล ต่อมาจะกลายเป็นสีดำเหมือนถูกบุหรี่จี้ขอบแข็ง การที่แผลเป็นสีดำเหมือนถ่านหิน จึงได้ชื่อว่าแอนแทรกซ์ ซึ่งรากศัพท์ แปลว่าถ่านหินนั่นเองครับ ทั้งหมดจะเกิดประมาณวันที่ 5 หลังจากมีตุ่มแดง แผลอาจพบได้ที่นิ้ว บริเวณ ตา คอ แขน ขา ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ปวดหัว และอ่อนเพลีย ในรายที่รุนแรง การอักเสบจะลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง และเข้าสู่กระแสเลือด เกิดภาวะ ติดเชื้อในเลือด ช็อกและเสียชีวิตได้
     2. แอนแทรกซ์ ที่ระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง หายใจขัด กระสับกระส่าย เจ็บคอ เจ็บหน้าอก ลิ้นบวม หอบ เขียว ไอเป็นเลือด เกิดความดันโลหิตต่ำ ช็อค ถึงแก่กรรม การติดเชื้อทางหายใจจะรุนแรงและการดำเนินโรคจะเร็วกว่าแบบอื่น ดังนั้นต้องรีบรักษา จุดเด่นคืออาการเร็ว เจ็บหน้าอก ไอ เป็นเลือด
     3. แอนแทรกซ์ ที่ระบบอาหาร มักจะมีประวัติกินแกงเนื้อ ยำเนื้อ และมาด้วยอาการปวดท้องฉับพลัน ท้องร่วงอย่างรุนแรง คล้ายกับอหิวาต์ อุจจาระอาจเป็นเลือดสดๆจำนวนมาก ทำให้มีอาการซีด ไข้สูง อาเจียน อ่อนเพลีย ถ้าอาการหนักมาก ก็อาจช็อค ถึงแก่กรรมได้
     4. อาการแทรกซ้อนอาจพบติดเชื้อในกระแสเลือด จะมีไข้สูง ช็อค อาจติดเชื้อในเยื่อหุ้มสมอง จะมีอาการทางสมอง คือ ปวดหัว สับสน กระวนกระวาย เอะอะอาละวาด จนกระทั่งซึมหมดสติการวินิจฉัย โรคไม่ยากคือ ได้จากประวัติ สัมผัสสัตว์หรือได้รับจดหมายมีผงแป้งของจริงจากบิล ลาเดน หรือ ผู้ก่อการร้าย ตรวจร่างกายพบอาการดังกล่าว และตรวจพบเชื้อจากเสมหะ ผิวหนัง หรือเพาะเชื้อจากเลือด

การติดต่อ 

การติดต่อในคนที่พบบ่อยเป็นการติดเชื้อทางผิวหนัง ทางเดินอาหาร และที่ปอด เชื้อแอนแทรกซ์ พบได้ทั่วโลกทั้งเอมริกา ยุโรป อาฟริกา ตะวันออกกลางและเอเซีย 
โรคแอนแทรกซ์ เป็นในสัตว์ได้เกือบทุกชนิด แต่มักพบในสัตว์เลือดอุ่นเลี้ยงลูกด้วยนม เช่น วัว ควาย ม้า ลา ฬ่อ แพะ แกะ สัตว์กินเนื้อและนกบางชนิดก็พบได้ โรคจะติดต่อมาสู่คนได้เมื่อสัมผัสสัตว์ที่เป็นโรค ซึ่งจะมีเชื้อโรคในทุกส่วนของสัตว์ ทั้ง ขน เนื้อ เลือดกระดูก ในคนจึงรับเชื้อ 3 ทางคือ การติดเชื้อผิวหนังที่เป็นแผล ทางระบบการหายใจ และระบบทางเดินอาหาร การติดเชื้อผิวหนังที่เป็นแผลเกิดจากไปสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ที่เป็นโรค ทางระบบหายใจพบได้น้อยในประเทศไทย มักจะพบในอุตสาหกรรม ขนสัตว์ หนังสัตว์ ซึ่งเชื้อในหนังและขน และกระจายไปในอากาศ เมื่อหายใจเข้าไปก็ติดเชื้อในปอดได้ ในส่วนนี้ เป็นการติดเชื้อที่กลัวกันมากว่าจะนำมาใช้ในสงคราม ส่วนการติดเชี้อในอาหารมักจากการทานเนื่อสัตว์ที่เป็นโรคโดยไม่ทำให้สุกก่อน

การรักษา

ยาที่ใช้ได้มีหลายตัวด้วยกันได้แก่ เพนนิซิลิน สเตรพโตมัยซิน เตตร้าไซคลิน อีรีย์โทรมัยซิน คลอแรมเฟนนิคอล ถ้าเป็น       เพนนิซิลลิน ส่วนมากมักต้องให้ยาในรูปการฉีดเข้าเส้นเลือด เพราะรักษาไม่ยากจึงไม่น่ากลัว และลักษณะเชื้อชนิดแกรมบวก ก็มักจะไม่ดื้อยามาก

สถานการณ์โรคแอนแทรกซ์ ในประเทศไทย

จากรายงานการเฝ้าระวังของสำนักระบาดวิทยา พบว่า ไม่มีผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์ในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544-2551 เป็นเวลา 8 ปีติดต่อกัน โดยก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 – 2543 อัตราการเกิดโรค อยู่ระหว่าง 0.02-0.17 ต่อแสนประชากร มีผู้ป่วยสูงสุด 102 คน ในปี 2538 และต่ำสุด 7 คน ในปี 2537

การเกิดโรคส่วนมากจะพบตามจังหวัดชายแดนที่ติดต่อกับสหภาพพม่า ลาว และกัมพูชา แต่บางครั้งก็เกิดการระบาดขึ้นได้ในใจกลางของประเทศได้ เช่น ที่จังหวัดพิจิตรในปี พ.ศ. 2543 และ กรุงเทพมหานคร ในปี พ.ศ. 2540 จังหวัดที่มีการรายงานพบโรคนี้เป็นประจำ ตั้งแต่ปี 2535 – 2543 ได้แก่ เชียงราย พะเยา  น่าน  ตาก  พิษณุโลก  พิจิตร  สุรินทร์  อุดรธานี และเกิดประปรายในจังหวัด เชียงใหม่  ลำปาง  ลำพูน แพร่  สุโขทัย  อุทัยธานี  บุรีรัมย์  นครพนม และประจวบคีรีขันธ์

สถานการณ์โรคโรคแอนแทรกซ์ ในต่างประเทศ

  • ในปี พ.ศ. 2551 มีรายงานโรคแอนแทรกซ์ทั้งในคนและในสัตว์ในประเทศจีน อินเดีย มองโกเลีย อัฟกานิสถาน คาซัคสถาน คีร์กิซสถาน ลาว และเวียดนาม
  • มิถุนายน-กรกฎาคม 2552 พบการระบาดของโรค 5 ครั้ง ได้แก่ ครั้งแรก ทางตะวันตกของประเทศคาซัคสถาน เป็นผู้ป่วยหญิงอายุ 59 ปีได้รับการวินิจฉัยโรคแอนแทรกซ์ และพบผู้ป่วยสงสัย 14 ราย เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ทางการคาซัคสถานได้ตรวจติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย 185 ราย  ครั้งที่สอง ในเมือง Tinbongo จังหวัด Talensa-Nabdam ตอนบนของตะวันออกของประเทศกานา มีรายงานผู้ป่วย 11 ราย และเสียชีวิต 2 ราย จากการบริโภคสัตว์ที่ตายด้วยโรคแอนแทรกซ์ ครั้งที่สาม ในพื้นที่ Megiddo ตอนเหนือของประเทศอิสราเอล รายงานพบวัวเนื้อจำนวน 50 ตัว เสียชีวิต ด้วยอาการมีเลือดออกจากปาก และจากการนำม้ามวัวเสียชีวิตไปตรวจทางห้องปฏิบัติการพบมีการติดเชื้อแอนแทรกซ์  ครั้งที่สี่ ในเมือง Partido de Tres Arroyos ประเทศอาร์เจนตินา พบวัวแท้งจากการติดเชื้อแอนแทรกซ์ในกระแสเลือด และครั้งที่ห้า ในประเทศอินเดีย เมือง Tamil Nadu พบคนงานโรงนมสงสัยโรคแอนแทรกซ์ จากการติดเชื้อจากวัว และพบการระบาดใหญ่ในหลายหมู่บ้านในรัฐโอริสสา ผู้ป่วยทุกรายมีประวัติรับประทานเนื้อจากสัตว์ที่ป่วยตายด้วยโรคแอนแทรกซ์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ลงพื้นที่ เพื่อให้การรักษาผู้ป่วยต่อไป
  • สิงหาคม 2552 พบการระบาดของโรคแอนแทรกซ์ 3 ครั้ง ได้แก่ ครั้งแรก ในเมือง Pabna ประเทศบังคลาเทศ พบผู้ป่วย 35 ราย สาเหตุจาการบริโภคเนื้อวัวที่ติดเชื้อแบคทีเรีย ขณะนี้ผู้ป่วยยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ครั้งที่สอง ในหมู่บ้านเมย์ดาปาตา จังหวัดฟาร์คลอร์ ประเทศทาจิกิสถาน พบผู้ป่วยยืนยันโรคแอนแทรกซ์ 4 ราย และผู้ป่วยสงสัย 11 ราย รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล จากการสอบสวนเพิ่มเติมพบวัวในพื้นที่ติดเชื้อโรคแอนแทรกซ์ 30 ตัว จาก 300 ตัว และ ครั้งที่สาม ประเทศอิหร่าน พบผู้ป่วยติดเชื้อแอนแทรกซ์ 150 ราย เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคทั่วประเทศ โดยการใช้วัคซีนและรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
  • กันยายน 2552 พบการระบาดของโรคแอนแทรกซ์ 4 ครั้ง ได้แก่ ครั้งแรก ผู้ป่วยสงสัยติดเชื้อแอนแทรกซ์จากวัวในหมู่บ้าน Pabna ประเทศบังคลาเทศ ไม่ต่ำกว่า 26 ราย จากการชำแหละสัตว์ป่วย และรับประทานเนื้อจากสัตว์ป่วยนั้น เจ้าหน้าที่ได้ทำการเก็บตัวอย่างเลือด และเนื้อเยื่อผิวหนังไปตรวจสอบ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผล นอกจากนี้ปศุสัตว์ได้เข้าฉีดวัคซีนให้วัว 450 ตัวในหมู่บ้านที่เกิดการระบาด ครั้งที่สอง ตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐวิคตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย พบวัวในฟาร์มที่พื้นที่ Tatura-Stanhopa ตายจากโรคแอนแทรกซ์ เจ้าหน้าที่ได้เข้าฉีดวัคซีนวัวในฟาร์ม และกำจัดซากวัวติดเชื้อที่ตาย ครั้งที่สาม ในเมือง Nyeri ประเทศเคนยา พบผู้ป่วยชาย เสียชีวิตจากโรคแอนแทรกซ์ สาเหตุเกิดจากการบริโภคเนื้อวัวที่ติดเชื้อ และครั้งที่สี่ พบช้างในเมือง Perumbavoor ประเทศอินเดีย ล้มจากโรคแอนแทรกซ์ ซึ่งมีการอ้างว่า ช้างที่ล้มได้ถูกฝังใกล้แม่น้ำ Muvattupuzha ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อน้ำที่ประชากรล้านคนใช้ดื่ม เจ้าหน้าที่แนะนำว่าควรมีการฝังช้างในป่าใกล้กับที่สัตว์ตาย และควรขุดหลุมให้ลึกลงไป 2 เมตร
แม้จะไม่พบการติดเชื้อทั้งในสัตว์ และในคนในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 -2552 แต่ในปี พ.ศ. 2551-2552 ก็มีรายงานโรคนี้ทั้งในคนและในสัตว์ในหลายประเทศในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะเพื่อนบ้านของไทย เช่น ลาว และเวียดนาม ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรเฝ้าระวังโรคในปศุสัตว์สัตว์ที่ค้าขายผ่านทางชายแดนและสัตว์ป่านำเข้ามาในประเทศไทย ควรฉีดวัคซีนสัตว์ในพื้นที่ที่เคยเกิดโรค และในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค และควรสร้างสุขนิสัยการรับประทานอาหารของคนโดยไม่รับประทานเนื้อสัตว์ที่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ และไม่รับประทานอาหารจากเนื้อสัตว์ที่ดิบหรือดิบๆ สุกๆ